เทรนด์การให้อาหารเนื้อดิบแบบ barf สำหรับสัตว์เลี้ยงกำลังมาแรง ด้วยความเชื่อว่าแมวและสุนัขทุกสายพันธุ์ในปัจจุบันมีวิวัฒนาการมาจากสัตว์ป่าซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ ระบบย่อยอาหารและความต้องการสารอาหารคล้ายกัน การกินอาหารดิบไม่ผ่านความร้อนแบบบาร์ฟเป็นการเลียนแบบธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงมากกว่า เคล็ดลับการให้อาหารบาร์ฟอย่างถูกต้องเป็นอย่างไรมาดูกันเลย
Table of Contents
อาหารบาร์ฟคืออะไร
แนวคิดเกี่ยวกับอาหารบาร์ฟคือการให้อาหารแมวและสุนัขเลียนแบบการล่าเหยื่อตามธรรมชาติของสัตว์ป่า สัดส่วนของอาหารบาร์ฟจึงผสมผสานทั้งเนื้อสด กระดูก อวัยวะ รวมถึงพืชผักผลไม้ที่เหลืออยู่ในท้องของเหยื่อ อธิบายง่าย ๆ คือเนื้อดิบเป็นส่วนผสมหลัก อาหารแบบ barf ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูป ไม่มีสารปรุงแต่งและสารกันบูด ซึ่งรักษาสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไว้ได้มากที่สุด มีแบคทีเรียและเอนไซม์ช่วยย่อยตามธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้สุนัขและแมวมีสุขภาพดีขึ้น
อาหารดิบแบบบาร์ฟมีประโยชน์อย่างไร
- กล้ามเนื้อและข้อต่อกระดูกแข็งแรง
- สุขภาพผิวหนังดีขึ้น
- เส้นขนแข็งแรงไม่หลุดร่วงง่าย
- สุขภาพฟันและช่องปากดีขึ้น ลดกลิ่นปาก ปรับปรุงระบบย่อยอาหาร
- ขับถ่ายง่ายขึ้น อุจจาระมีกลิ่นน้อยลง
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดอาการภูมิแพ้ผิวหนัง
- สุขภาพโดยรวมดีขึ้นและอายุยืนยาวกว่าเดิม
จะเริ่มให้อาหารดิบได้อย่างไร
ก่อนให้อาหารแบบบาร์ฟ เจ้าของจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจทั้งเรื่องการจัดเตรียมวัตถุดิบที่สะอาดปลอดภัย สัดส่วนที่สมดุล และปริมาณอาหารที่เหมาะสมกับขนาดตัว รวมถึงอันตรายของเนื้อดิบที่ไม่ผ่านการปรุงมีความเสี่ยงปนเปื้อนแบคทีเรีย เชื้อโรค และพยาธิ ทำให้เจ็บป่วยเป็นโรคหรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แนะนำให้เริ่มต้นด้วยอาหารบาร์ฟสำเร็จรูปที่ได้มาตรฐานหรือลองเตรียมอาหารด้วยตัวเองง่าย ๆ โดยใช้สูตรเนื้อดิบบดละเอียดผสมผักผลไม้ ไม่มีเครื่องใน ค่อย ๆ ให้ทีละน้อยสลับวันกับอาหารเม็ดหรืออาหารเปียกสำเร็จรูปที่เคยกินเป็นประจำต่อเนื่องกันอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ทำให้สัตว์เลี้ยงท้องเสีย ท้องร่วง
อาหารเม็ดและอาหารดิบสามารถให้อาหารร่วมกันได้หรือไม่
ทั้งนี้ คุณสมบัติของอาหารสำเร็จรูปและอาหารเนื้อดิบแบบ barfแตกต่างกันมาก อาหารเม็ดต้องใช้เวลาในการย่อยมากกว่าอาหารดิบและจุลินทรีย์จากอาหารดิบยังตกค้างอยู่ในระบบย่อยอาหารนาน ทำให้เกิดผลเสียเมื่อให้อาหารสองประเภทในมื้อเดียวกัน ระบบย่อยอาหารของแมวและสุนัขต้องใช้เวลาปรับเปลี่ยนให้ยอมรับอาหารแต่ละประเภท แนะนำให้กินสลับวันกันไปเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงของคุณ
การเปลี่ยนจากอาหารสำเร็จรูปไปเป็นเนื้อดิบตามธรรมชาติถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ร่างกายต้องใช้เวลาในการปรับตัว ในสัปดาห์แรกหลังจากเริ่มให้อาหารแบบบาร์ฟ เจ้าของควรสังเกตการขับถ่ายของสัตว์เลี้ยง อาการทั่วไปที่อาจพบได้คือถ่ายเหลว ท้องเสีย มักเกิดขึ้นโดยเฉพาะกับสัตว์เลี้ยงที่กินอาหารเม็ดเป็นเวลานานและร่างกายต้องใช้เวลาปรับตัวมาก บางรายอาจมีผลข้างเคียงในระยะสั้น เช่น ขี้หูมาก เส้นขนหลุดร่วงมากกว่าปกติ เกิดผื่นที่ผิวหนัง อาการเหล่านี้จะหายไปภายในไม่กี่สัปดาห์ ในระหว่างนี้เจ้าของควรพาสัตว์เลี้ยงไปออกกำลังกายรับอากาศบริสุทธิ์และดื่มน้ำให้เพียงพอ
แต่แมวและสุนัขบางรายอาจไม่มีอาการเหล่านี้เลย ต่อเมื่อเห็นว่าอุจจาระมีขนาดเล็กและแน่น ไม่มีกลิ่นฉุน แสดงว่าระบบย่อยอาหารปรับตัวยอมรับเนื้อดิบได้แล้ว ค่อยปรับสูตรบาร์ฟเปลี่ยนไปใช้สูตรอื่นที่มีทั้งเครื่องในและอาหารเสริมต่าง ๆ การใส่โยเกิร์ตผสมลงไปด้วยเป็นเคล็ดลับการให้อาหารบาร์ฟเพราะมีแบคทีเรียโปรไบโอติกที่ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้และระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น
ควรให้ปริมาณอาหารมากแค่ไหน
หลักการให้อาหารบาร์ฟโดยทั่วไปจะคำนวณโดยใช้อัตราส่วน 2% – 4% ของน้ำหนักตัว ตัวอย่างเช่น สุนัขมีน้ำหนัก 10 กิโลกรัม กินเนื้อดิบผสมผักผลไม้ราว 200-400 กรัมต่อวัน อย่างไรก็ดี แมวและสุนัขแต่ละตัวมีนิสัยการกินไม่เหมือนกัน บางตัวน้ำหนักมาก บางตัวผอมบาง ปริมาณที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ อายุ สุขภาพ การเผาผลาญ โรคประจำตัว และกิจกรรมของสัตว์เลี้ยง ดังนั้น ก่อนให้อาหารบาร์ฟจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการโดยเฉพาะ
เจ้าของควรเช็กน้ำหนักของสัตว์เลี้ยงบ่อย ๆ เพื่อปรับสัดส่วนของอาหารให้เหมาะสมที่สุด การจัดเตรียมอาหารแต่ละมื้อควรตวงอาหารทุกครั้ง เพื่อให้แมวและสุนัขได้รับอาหารปริมาณพอเหมาะ เพราะสัตว์เลี้ยงบางตัวมีพฤติกรรมกินมากกินน้อยต่างกัน หากให้อาหารมากเกินไปกินไม่หมดก็สิ้นเปลือง หรือให้กินมากเกินไปก็เสี่ยงเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาในภายหลัง
การแบ่งมื้ออาหารต่อวันขึ้นอยู่กับอายุ ถ้าเป็นลูกแมวลูกสุนัข ควรแบ่งอาหารเป็น 3 มื้อต่อวัน เนื่องจากทางเดินอาหารและระบบย่อยอาหารยังไม่แข็งแรง หากให้อาหารปริมาณมากต่อมื้อ อาจย่อยไม่ทันทำให้แน่นท้อง ส่วนแมวหรือสุนัขที่โตเต็มวัยแล้ว แนะนำเปลี่ยนมาให้อาหาร 2 มื้อต่อวัน
อาหารแบบบาร์ฟที่จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าและแช่แข็งไว้เพื่อให้นำออกมาใช้ได้สะดวก ควรระมัดระวังเรื่องความสะอาด นำออกมาละลายให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม วิธีการละลายให้ใส่อาหารลงในถุงซิปล็อกที่ปิดสนิทป้องกันน้ำเข้าไปข้างในจะช่วยทำให้การละลายน้ำแข็งเร็วขึ้น ควรใช้น้ำอุ่น ถ้าน้ำร้อนมากจะทำให้อาหารสุก ไม่ใช่เนื้อดิบตามสูตรอาหารบาร์ฟ อาหารสดใหม่ดีที่สุดและไม่ควรเททิ้งปล่อยไว้ให้เย็นชืดนาน ๆ หากสุนัขกินไม่หมดภายใน 5-10 นาที ให้นำอาหารเข้าไปแช่ในตู้เย็นและให้เป็นอาหารมื้อต่อไปได้ ส่วนแมวชอบกินทีละเล็กละน้อย ควรให้ปริมาณเหมาะสมและแบ่งเป็นมื้อย่อย ๆ มากขึ้น
อาหารแบบ barf สำเร็จรูปที่จำหน่ายในท้องตลาดนั้นสามารถเก็บไว้ในช่องแช่แข็งได้นาน 6 เดือน หรือเก็บธรรมดาในตู้เย็นได้ 3 วัน ปัจจุบันร้านค้าอาหารสัตว์เลี้ยงมีบริการส่งด่วนของ MAKESEND จัดส่งทั่วไปหรือเลือกบริการส่งแบบแช่เย็นควบคุมอุณหภูมิอาหารสดก็ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก
- https://www.makesend.asia/raw-meat-based-barf-delivery/
- https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/34766
- https://www.yippeehappy.com/en/blog/detail/752/อาหาร-barf-คืออะไร-ดีต่อน้องหมาอย่างไรบ้าง
- https://www.academy.royalcanin.co.th/article/วิธีให้อาหารน้องหมา/47
- https://www.academy.royalcanin.co.th/article/ตวง-ก่อน-เติม-เพื่อสุขภาพที่ดีของน้องหมาน้องแมว/48